ข่าวไอที 0 Comments , , ,

Apple เปิดตัว Lockdown mode ปกป้องผู้ใช้งานจากสปายแวร์

แอปเปิล (Apple) เปิดตัวฟังก์ชันการใช้งานใหม่ ซึ่งมีชื่อว่า Lockdown mode โดยสร้างมาเพื่อปกป้องผู้ใช้งานที่มีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับสปายแวร์ (Spyware) และภัยคุกคามอื่นๆ

แอปเปิล เพิ่มความเข้มข้นในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์มากขึ้น ด้วยการเปิดตัวสิ่งที่เรียกว่า Lockdown mode เพื่อให้เกิดความปลอดภัยจากการที่ถูกแฮกข้อมูลไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายแฮกเกอร์ หรือการใช้สปายแวร์จากบริษัทเอกชนที่ถูกว่าจ้างโดยรัฐบาลบางประเทศ

ฟังก์ชัน Lockdown mode ของแอปเปิล พัฒนามาเพื่อปกป้องนักข่าว, นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน, นักการเมือง และนักกฎหมาย เป็นต้น โดยที่ฟังก์ชันการใช้งานนี้จะเริ่มเปิดให้ใช้งานในช่วงปลายปีนี้

การที่แอปเปิลเปิดตัวฟังก์ชันการใช้งานที่มีความเกี่ยวข้องในด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ สะท้อนให้เห็นว่า การแพร่กระจายของสปายแวร์ ไม่ว่าจะมาจากแฮกเกอร์ หรือสปายแวร์รับจ้างจากรัฐบาลของประเทศต่างๆ กำลังเกิดการขยายตัว อีกทั้งสปายแวร์ประเภทนี้ยังมีความน่ากลัวตรงที่สามารถแฮกและควบคุมสมาร์ทโฟนของเป้าหมายได้จากระยะไกล

การทำงานของ Lockdown mode มีตั้งแต่ การปิดกั้นข้อความที่มาพร้อมกับไฟล์เอกสารที่ถูกแนบมาด้วย, การปิดกั้นการโทรผ่านแอปพลิเคชัน FaceTime จากคนแปลกหน้า รวมถึงการปิดกั้นการเข้าถึง iPhone เมื่อเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์เสริม เมื่อถูกล็อก

ในช่วงที่ผ่านมาแอปเปิลไม่เคยเปิดเผยตัวเลขที่แน่ชัดว่าผู้ใช้งาน iPhone จำนวนมากน้อยแค่ไหนที่ตกเป็นเป้าให้กับสปายแวร์ โดยเฉพาะสปายแวร์ที่มีชื่อว่า Pegasus ของบริษัท NSO Group จากประเทศอิสราเอล

 

สิ่งที่พอจะรับทราบโดยทั่วกันก็คือ iPhone ของแอปเปิล เป็นสมาร์ทโฟนที่ตกเป็นเหยื่อของการเฝ้าโจมตีจากสปายแวร์มากที่สุด โดยมีตัวเลขคร่าวๆ พบว่า ผู้ใช้งาน iPhone ตกเป็นเหยื่อของสปายแวร์ใน 150 ประเทศทั่วโลก

อย่างไรก็ดี แอปเปิล ยืนยันว่า การโจมตีของสปายแวร์จากบริษัทเอกชนซึ่งพัฒนาขึ้นตามการว่าจ้างโดยภาครัฐ ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ใช้งานทั่วไปมากนัก แต่แอปเปิลยืนยันว่าจะสร้างระบบป้องกันอย่างเต็มที่

สำหรับ Lockdown mode มีให้ใช้งานทั้งในระบบปฏิบัติการ iOS 16, iPadOS 16 และ macOS Ventura

นอกจากนี้แล้ว แอปเปิลยังได้สนับสนุนเงินทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับการเปิดเผยและตรวจสอบการโจมตีทางไซเบอร์เป็นจำนวนเงิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ที่มา: Apple Newsroom